บทความ

ปืนหายกับความอ่อนไหว

กรณีปืนของ อส.นราธิวาส สูญหายจำนวน 28 กระบอกนั้น แม้จะมีผลสอบสวนในเบื้องต้นออกมาบ้างแล้วว่า ได้ติดตามปืนคืนมาได้บางส่วน ขณะที่ปืนที่หายไป พบว่าน่าจะเกิดจากกำลังพลนำไปจำนำ จนน่าจะคลี่คลายข้อสงสัยได้ระดับหนึ่งแล้วก็ตาม

แต่เหตุการณ์นี้ไม่ควรปล่อยผ่านให้จบง่ายๆ หรือเงียบหายไปดั่งคลื่นกระทบฝั่ง เข้าทำนองด่ากันพักเดียวเดี๋ยวก็ลืม (โดยเฉพาะจากรายงานพิเศษของศูนย์ข่าวอิศราเรื่อง “อส.ขอแฉ” หรือชื่อเต็มๆ ว่า “อส.แฉเอง ‘วงจรจำนำปืน’ ท้าตรวจทุกอำเภอเจอหายอีกอื้อ”) เพราะต้องย้ำกันชัดๆ ว่า เรื่องนี้ปล่อยผ่านไม่ได้เป็นอันขาด เพราะมีทั้งความอ่อนไหว และอันตรายที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง

ก่อนอื่นต้องบอกว่า ข้อมูลเกี่ยวกับ “ปืนหาย” ในส่วนของกองร้อย อส. อำเภอเมืองนราธิวาส จนถึงป่านนี้ก็ยังสับสน ฟังแล้วงง ไม่รู้ใครมั่วแน่

เริ่มจากต้นตอของข่าว มาจากเอกสารรายงานวิทยุตำรวจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้กำกับการ สภ.เมืองนราธิวาส รายงาน ผบ.ตร.และผู้บังคับบัญชาระดับสูงในส่วนกลาง เกี่ยวกับคดี “ปืนหาย” ที่มีปลัดอำเภอเมืองนราธิวาส มาแจ้งความไว้เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2564 ระบุชัดว่าปืนหายไป 28 กระบอก ทั้งหมดเป็นปืนอาก้า หรือ AK 102

ฟังดูเผินๆ เหมือนเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ปืนหายทีเดียว 28 กระบอก แต่ก่อนที่สังคมจะตกใจ ก็มีความพยายามชี้แจงทั้งจากฝ่ายตำรวจ และ กอ.รมน.ว่า ปืน 28 กระบอกไม่ได้หายไปในคราวเดียว แต่ทยอยหายตั้งแต่ปี 2555

ข้อมูลนี้สอดคล้องกับข้อมูลที่ทางจังหวัดนราธิวาสรายงานไปยังปลัดกระทรวงมหาดไทยหลังมีข่าวปืนหาย โดยระบุว่า ปืน อส.หายไปกระบอกแรก (เท่าที่ตรวจสอบได้) เมื่อปี 2555 จากนั้นก็มีกรณีปืนหายเรื่อยมา

ข้อมูลที่เป็นรายงาน สรุปออกมาเฉพาะสาระสำคัญได้แบบนี้

4 ก.ย.2555 => ปืนหาย 1 กระบอก

13 ธ.ค.2556 => ปืนหาย 1 กระบอก ตามยึดได้จากคนร้ายเมื่อ 16 ม.ค.57

31 ม.ค.2557 => ตำรวจสงขลาจับผู้ต้องหาพร้อมปืน 1 กระบอก เป็นปืนที่หายจาก อส.นราธิวาส

3 ก.พ.2557 => ปืนหาย 3 กระบอก

23 ก.พ.2564 => ตำรวจระแงะ นราธิวาส ตรวจยึดปืน 1 กระบอก เป็นปืนที่หายจาก อส.นราธิวาส

11 เม.ย.2564 => ตำรวจนราธิวาสตรวจค้นบ้านต้องสงสัย พบปืน 1 กระบอก เป็นปืนที่หายจาก อส.นราธิวาส

11 พ.ค.2564 => ทหารพรานปะทะโจรใต้ คนร้ายดับ 1 ปืนที่ใช้เป็นปืนที่หายจาก อส.นราธิวาส

17 พ.ค.2564 => อำเภอเมืองนราธิวาส ตรวจสอบพบปืนหาย 19 กระบอก

รวม 28 กระบอก

ความต่างของข้อมูลนี้ กับข้อมูลการรับแจ้งความของตำรวจคือ จำนวนปืนที่หาย ข้อมูลของจังหวัดบอกว่าปืนหายจริงๆ 19 กระบอก และไปแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองนราธิวาส แต่ฝั่งตำรวจบันทึกข้อมูลว่าปืนหาย 28 กระบอก

เมื่อพิจารณารายละเอียดจากข้อมูลที่ทางจังหวัดรายงานปลัดกระทรวงมหาดไทย จะพบว่าปืนบางกระบอกที่หายไป ได้คืนกลับมาแล้ว ทั้งจากการจับกุมผู้ต้องหาคดีความมั่นคง การปิดล้อมตรวจค้นและการยิงปะทะ

จากข้อมูลจะพบข้อความเขียนไว้ชัดเจนว่าตรวจยึดปืนที่หายไปกลับคืนมาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนับแล้วได้ 5 กระบอก แต่หากอนุมานว่า ข้อมูลปืนหายตั้งแต่วันที่ 4 ก.ย.2555 ถึง 11 พ.ค.2564 เป็นการได้ปืนที่หายไปกลับคืนมา ก็จะเท่ากับว่าได้ปืนกลับมาแล้ว 9 กระบอก ฉะนั้นยังเหลือที่หายจริงๆ และยังหาไม่เจอจำนวน 19 กระบอก (ตามข้อมูลที่รายงานปลัดมหาดไทย)

คำถามคือ แล้วตัวเลข 28 กระบอกที่ตำรวจอ้างว่าปลัดอำเภอเมืองนราธิวาสไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันเอาไว้ นำมาจากไหน หรือเป็นการบวกรวมปืนที่หายไปและติดตามเจอแล้ว กับปืนที่ยังหาไม่เจอ สาเหตุที่ต้องเป็นคดี ก็เพื่อสอบสวนหาคนผิดที่ทำให้ปืนหาย แม้จะติดตามคืนกลับมาได้แล้วก็ตาม

แต่ความสับสนเรื่องตัวเลขปืนหายยังไม่จบ เพราะต่อมามีการประชุมของฝ่ายตำรวจ นำโดย พล.ต.ต.นรินทร์ บูสะมัญ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส ผลประชุมออกมาค่อนข้างชัดเจนว่า ยอดปืนที่หายไปในความเข้าใจของตำรวจ คือ 28 กระบอก และตามคืนมาได้แล้ว 6 กระบอก ยังอยู่ระหว่างติดตาม 22 กระบอก

นี่กลายเป็นตัวเลขชุดใหม่ และไม่มีความชัดเจนว่า ตัวเลข 6 กระบอกที่อ้างว่า ติดตามคืนมาได้แล้ว คือการติดตามคืนมาจากการปะทะ หรือจับกุมผู้ต้องหาคดีความมั่นคง รวมไปถึงการค้นบ้านเป้าหมายตามรายงานของทางจังหวัดที่ส่งถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย หรือว่าเป็นปืนที่ตำรวจไปติดตามคืนมาหลังได้รับแจ้งความกันแน่ เนื่องจากมีข่าวการจับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับกรณีปืนหาย และผู้ต้องหารายนี้รับสารภาพว่า เป็นคนนำปืนไปขาย

สรุป ณ เวลานี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า ปืนที่ยังสูญหาย หรือยังติดตามคืนมาไม่ได้ มีกี่กระบอกกันแน่… 19 กระบอกตามข้อมูลของฝ่ายปกครอง หรือ 22 กระบอกตามข้อมูลของฝ่ายตำรวจ

ข้อมูลตัวเลขปืนหาย ไม่ควรปล่อยให้สับสน เนื่องจากเรื่องปืนผาหน้าไม้ นอกจากจะเป็นวัตถุอันตรายที่ใช้ฆ่าคนได้แล้ว ยังเป็นทรัพย์สินของทางราชการด้วย

ประเด็นที่จำเป็นต้องตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมก็คือ อาวุธปืนปืนราวๆ 5-9 กระบอกที่ถูกระบุว่า ติดตามคืนมาได้แล้วนั้น ตอนที่ปืนชุดนี้หาย มันหายไปได้อย่างไร ด้วยวิธีการใด ถูกปล้นชิงไปจากเหตุการณ์ซุ่มโจมตี หรือปล้นฐาน หรือว่าหายเพราะกำลังพลนำไปขายหรือจำนำ

สาเหตุที่ปืนหาย ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะถ้าปืนหายจากการถูกซุ่มโจมตี หรือถูกปล้นฐาน แบบนี้ยังพอรับฟังได้ เพราะเป็นเรื่องทางยุทธการ แต่ถ้าปืนหายเพราะถูกนำไปขายหรือนำไปจำนำ แล้วสุดท้ายปืนไปอยู่ในมือกลุ่มก่อความไม่สงบ อย่างนี้ต้องถือว่า เป็นความซับซ้อนและต้องสอบสวนเชิงลึกว่า เป็นการอำพรางส่งปืนให้ฝ่ายตรงข้ามโดยบุคคลที่แฝงตัวเข้ามาเป็น อส.หรือไม่

หากเรื่องนี้ไม่ใช่ขบวนการ “หนอนบ่อนไส้” ก็น่ากลัวไม่แพ้กัน เพราะแสดงว่าในตลาดจำนำปืนที่ฝุ่นตลบไปด้วยเงินนอกระบบ การพนัน ยาเสพติด และธุรกิจผิดกฎหมาย ปรากฏว่า มีความเชื่อมโยงไปถึงขบวนการก่อความไม่สงบด้วย ทำให้ปืนเล็ดลอดไปอยู่ในมือผู้ก่อเหตุรุนแรงได้

เรื่องแบบนี้ถ้าสอบสวนออกมาไม่ชัด และมีคำตอบที่คลุมเครือ จะยิ่งบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายความมั่นคงและกองกำลังของรัฐในสายตาชาวบ้าน…ก็ปืนตัวเองยังเอาไปขาย ปืนตัวเองยังรักษาไว้ไม่ได้ แล้วจะดูแลพี่น้องประชาชนและชาวบ้านร้านตลาดได้อย่างไร

ที่สำคัญ การปล่อยให้ปืนหายมากมายโดยไม่มึคำตอบที่สมเหตุสมผลเพียงพอ อาจทำให้เกิดความสงสัยได้ว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ปืนบางกระบอกไม่ได้หาย แต่แจ้งว่าเป็น “ปืนหาย” แล้วก็ใช้ปืนนั้นไปกระทำเรื่องผิดๆ เรื่องลับๆ เรื่องนอกกฎหมาย เพื่อที่ว่าเวลาสรุปรายงานสถานการณ์ ก็ส่งรายงานและแจ้งว่าเป็นการกระทำของคนร้าย เพราะปืนสูญหายไปอยู่ในมือโจร ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นการสวมรอย

งานนี้ถ้าเคลียร์ได้ไม่ดี ความรุนแรงหลายๆ กรณีอาจเป็นฝีมือ “โจรปลอม”

ที่มา : https://www.isranews.org/article/south-news/south-slide/99070-naragunak.html